วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โชคดีที่เจอ “หมอรักษาคน”  หรือ โชคร้ายที่เจอ “หมอรักษาโรค”

            คำว่า  “หมอรักษาคน” กับ “หมอรักษาโรค” ฟังดูเผิน ๆ ก็คล้ายกันนะครับ แต่การรักษาต่างกันอย่างสิ้นเชิง คุณอาจไม่รู้ตัวเลยว่าคุณกำลังโชคดีที่เจอหมอรักษาคน หรือโชคร้ายที่เจอหมอรักษาโรค บางคนกว่าจะรู้ตัวก็หมดเวลาอยู่บนโลกไปซะแล้ว

                ผมขอเปรียบเทียบง่าย ๆ นะครับ เวลาที่เราเอารถไปซ่อมที่อู่ซ่อม ช่างเครื่องเอาหูแนบฝากระโปรงรถ โดยไม่เปิดห้องเครื่องดูเลย แล้วก็สั่งให้เปลี่ยนอะไหล่ตัวนั้นตัวนี้ เราคิดในใจได้  2 อย่าง อย่างแรกคือ ช่างคนนี้ระดับเทพแท้ๆ เพียงแค่ฟังเสียงก็วิเคราะห์ได้ขาด (กระเป๋าเราก็ขาดไปด้วย) อย่างที่สองคือ โห..นี่มันบ้าไปแล้ว ! มั่วชัดๆ ช่างคนนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย
                เหตุการณ์คล้าย ๆ แบบนี้แหละครับที่เกิดขึ้นเสมอในห้องตรวจคนไข้ เวลาเราไปหาหมอ เราอุตส่าห์เตรียมบรรยายอาการของโรคให้หมอฟังอย่างเต็มเหนี่ยว อ้าปากเล่าไปยังไม่ทันไร หมอก็ทำท่าไม่อยากฟังต่อ แถมเอาหูฟังมาจิ้มๆ เคาะๆ ฟังที่ตัวเราแล้วสั่งจ่ายยาเลย ประมาณค้นพบแล้วว่าเป็นโรคอะไร แต่คนไข้ร้อยทั้งร้อยมักคิด(ปลงตก)แบบข้อแรกเลยว่า โอ้โห.. หมอเก่งจริง ๆ  หมอเทวดาแท้ ๆ  แค่ฟังอาการ ตรวจนิดหน่อย ก็วินิจฉัยโรคได้แล้ว มีน้อยรายนะครับที่จะคิดแบบข้อสอง คือคิดขบถต่อใบสั่งยาของหมอ ว่า เฮ้ย..เป็นไปไม่ได้หรอก ฟังอาการแค่นี้แล้วรู้เลยว่าเป็นโรคอะไร มั่วแท้ ๆ  ขนาดหมอดูเขายังข้อข้อมูลดวงชะตามากกว่านี้เลย  !
แล้วคุณเป็นคนไข้แบบไหนกันครับ ? เชื่อหมอทันที หรือ ไม่เชื่อทันที ลองมาฟังเรื่องจริงของผลลัพธ์อันน่าเศร้าของคนที่เชื่อข้อแรกคือเชื่อว่าหมอระดับเทวดาแน่ ๆ  และไม่กล้าคิดขบถต่อหมอเหมือนอย่างข้อ 2  เรื่องนี้ต้องขยายนะครับ เพราะมีบันทึกของนายแพทย์ Mark Hyman ที่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาแล้ว เรามาช่วยกันเปิดเผยการรักษาแบบช่างฟิต ช่างซ่อม ที่รักษาโรคตามอาการ แต่ไม่ได้รักษาคนที่ต้นเหตุ แบบหมอข้อแรกกันดีกว่า
                เรื่องก็มีอยู่ว่าบรรดาหมอช่างฟิตได้ตรวจพบโรครวมมิตรจาก คนไข้ชื่อคุณโจ ชายอายุ40 ต้นๆ  ดังต่อไปนี้
·        โรคหอบหืด ส่งไปให้หมอหู คอ จมูก จ่ายยาปฏิชีวนะ สเตียรอยด์ และตัวเองต้องพ่นยาเข้าจมูกทุกวัน
·        โรคสะเก็ดเงิน ส่งไปให้หมอผิวหนังจ่ายสารพัดยาและครีมทา
·        โรคกรดไหลย้อน แสบร้อนกลางอก ต้องไปให้แพทย์ลำไส้และกระเพาะดูแล
·        สมาธิสั้น ซึมเศร้า ต้องรับยาคลายประสาทจากจิตแพทย์ถึง 4 ขนาน (แต่ละตัวแพงๆทั้งนั้น)
·        ไขมันในเลือดสูง ระดับไตรกลีเซอไรด์ 597 หน่วย คลอเรสเตอรอล 275 หน่วย น้ำหนักเกินมาตรฐานไปกว่า 11 ก.ก พุงโย้
·        หิวบ่อย กินจุ แต่อ่อนเพลียต้องโด๊บกาแฟวันละอย่างต่ำ3 แก้ว และไดเอ็ทโค็กวันละ2กระป๋อง ตบท้ายด้วยไวน์วันละ2แก้ว
 ฟังแล้วเหนื่อยแทนคุณโจ จริงๆ ครับ ที่แวดล้อมด้วยช่างซ่อม ช่างฟิตเฉพาะทาง (ที่เรียกว่าแพทย์เฉพาะทาง) แกก็ยอมรักษาแบบรวมฮิตไปเรื่อย ๆ ไปโรงพยาบาลแต่ละทีคุ้มจริง ๆ เข้าพบเกือบครบทุกหมอ รักษาไปโดยไม่มีวี่แววว่าโรคทั้งหมดจะหายเมื่อไร แต่หลังจากคุณโจมาพบคุณหมอ Hyman เขาก็ได้เปลี่ยนวิธีการรักษาโรคมาเป็นการักษาคน และใช้เวลาร่วมกันกับคุณโจเพื่อสืบค้นวิถีชีวิตประจำวัน อาหารการกินของเขา ในที่สุดก็พบว่าโรคของคุณโจทั้งหมดเกิดจาก………..
·        แพ้กลูเต็นในขนมปังที่ทำจากข้าวไรย์และข้าวสาลี จนทำให้ลำไส้อักเสบ มีพยาธิ
·        การกินยาปฏิชีวนะอย่างยาวนานทำให้เชื้อยีสต์ขยายแพร่พันธุ์เต็มลำไส้
·        การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้มีอาการดื้ออินซูลิน และอาการน้ำตาลตก (ไฮโปกลัยซีเมีย) อ่อนเพลียเรื้อรัง และกลุ่มอาการเมตาโบลิค(Metabolic Syndrome)
·        มีความผิดปกติทางพันธุกรรมทำให้ระดับวิตามินบีและโฟเลตลดลงมาก
·        ภาวะซึมเศร้าและภูมิต้านทานอ่อนแอทำให้ระดับวิตามิน D ต่ำมาก ภาวะดื้ออินซูลินทำให้โครเมี่ยมต่ำ
 นายแพทย์ Hyman ได้แนะนำคุณโจดังนี้คือ ให้งดขนมปังที่มีกลูเต็น ลดอาหารแป้ง น้ำตาล ลดกาแฟ งดไวน์ งดไดเอ็ทโค็ก เพื่อลดการอักเสบ ออกกำลัง กินอาหารทีมีเส้นใย นมเปรี้ยว โยเกิรต์ ที่มี probiotic ไขมันปลาที่มีomega-3 วิตามินB12 และโฟเลต วิตามิน D (ให้ยาฆ่าเชื้อยีสต์ทานเป็นเวลาสั้นๆ)
3 เดือนผ่านไป คุณโจสารพัดโรคก็ดี๊ด๊ากลับมาหาคุณหมอพร้อมกับแจ้งข่าวดีว่า บัดนี้โรครวมฮิตในร่างกายเริ่มหายแล้ว ! อย่างแรกคือน้ำหนักหายไป 11ก.ก ไตรกลีเซอไรด์ลดจาก 597 เป็น 80 คลอเรสเตอรอลลดจาก275เป็น 198 น้ำตาลFBS ลดจาก101 เป็น 84 ระดับอินซูลิน โฟเลต B12 กลับมาเป็นปกติ ไขมันพอกตับลดลงอย่างมาก ไม่ต้องใช้ยาพ่นจมูก ไม่ต้องใช้ยาลดกรดไหลย้อน และข่าวดีที่สุดคือคุณโจเลิกใช้ยาจากจิตแพทย์ทั้ง4ขนาน เพราะนอนหลับได้ดีขึ้นเอง จิตแจ่มใสขึ้น
บันทึกทางการแพทย์ของคุณหมอ Hyman เป็นอุทธาหรณ์ที่ดีมาก ๆ เลยนะครับ ทำให้เราระมัดระวังมากขึ้น เวลาไปหาหมอ แล้วหมอจ่ายยามาให้ตามอาการโรค เป็นกี่โรคก็จ่ายยาครบทุกโรค ขอให้ตั้งคำถามก่อนว่า เขาเป็นหมอรักษาเรา หรือเป็นช่างฟิต ช่างซ่อมโรค ซ่อมเครื่องยนต์มนุษย์ กันแน่ !

อย่าได้หลงเชื่อนะครับว่า ที่เราเป็นโรค ก็เพราะร่างกายเราขาดยามีแต่ว่า เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารไม่ถูกต้อง จะนำไปสู่ความเจ็บป่วย ไม่ใช่ป่วยเพราะขาดยา !!!! คนละโลกกันเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้ว ครั้งหน้าผมหวังว่าคุณจะโชคดีเจอ“หมอรักษาคน” แต่โชคดียิ่งกว่าถ้าคุณรู้จักดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีจนไม่ต้องเจอทั้งสองหมอ

ข้อมูลจากหนังสือ หักเหลี่ยมโรค ลบเหลี่ยมยา  
เขียนโดย คุณหมอ wellness สำนักพิมพ์โมเมนตั้ม