วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อคิดจาก ซีโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โค้ชผู้นำชัยชนะมาให้แฟนบอลไทย

ซีโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
โค้ชผู้นำชัยชนะมาให้แฟนบอลไทย

    แฟนบอลชาวไทยไม่ได้แค่รัก ซีโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฉพาะตอนที่เขาเข้ามารับหน้าที่โค้ชทีมชาติ แต่เขาคือนักฟุตบอลขวัญใจชาวไทยมาตั้งแต่สมัยติดทีมชาติ ท่าตีลังกาหลังจากยิงประตูชัยสำเร็จทุกครั้งคือความประทับใจทุกคน วันนี้เขามารับหน้าที่โค้ชทีมชาติ ซีโก้ก็ทำให้คนไทยทั้งประเทศมีความสุขเสมอเมื่อได้ดูฟุตบอลไทย ผลจะแพ้หรือชนะไม่สำคัญเท่ากับแฟนบอลได้ดูนักฟุตบอลไทยที่เล่นกันอย่างสุดหัวใจต่างหากที่ชนะใจทุกคน

ซีโก้ เกียรติศักดิ์ ภาพจาก นิตยสาร Happiness Ptt

     "สำหรับน้องๆ นักฟุตบอลนั้น เราเหมือนพี่น้อง มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ผมไม่ได้สอนเรื่องฟุตบอลอย่างเดียว แต่สอนเรื่องการดูแลตัวเองและการใช้ชีวิตด้วย หากคุณต้องการเป็นนักฟุตบอลที่ดีและประสบความสำเร็จในชีิวิตต้องทำอย่างไร เพราะอาชีพฟุตบอลเป็นอาชีพไม่แน่นอน อาจมีการบาดเจ็บได้ ตลอดจนการวางตัวในสังคม เนื่องจากเราเป็นบุคคลสาธารณะต้องทำอย่างไรโดยไม่หลงระเริงไปกับคำชื่นชมมากเกินไป ผมบอกเสมอว่าฟุตบอลมีแพ้มีชนะ วันที่ชนะทุกคนจะชื่นชมดีใจกับคุณ แต่วันที่แพ้จะมีคำครหาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ฉะนั้นเราต้องอยู่กับทุกสภาวะได้"

   "หากบอลชนะเมื่อไรย่อมมันส์ ฉะนั้นเราต้องเล่นให้ไหลลื่นมีความฟิต สิ่งสำคัญที่สุดคือคนทั่วโลกชอบดูบอลมันส์ ดูอย่างพรีเมียร์ลีกส์สิ วิ่ง 90 นาทีไม่มีหมด คนอยากดู ฉะนั้นเราต้องฟิต ต้องมีวินัย ต้องเล่นไม่หยาบ เล่นสะอาด รู้จักควบคุมอารมณ์ หากเราเล่นเต็มที่แฟนบอลพร้อมจะหนุนหลัง แพ้หรือชนะเป็นเรื่องเกมกีฬา ฉะนั้นหากเราทำเต็มที่แล้วคนไม่ด่าไม่ว่าหรอก  แต่หากเล่นหยาบ เล่นเกเร ไม่มีแรง ไม่ฟิต ไม่ถึง ผู้ชมไม่อยากเชียร์"

    ข้อคิดดีๆ ของซีโก้คือ "ฟุตบอลคือกีฬา กีฬาคือเกมชนิดหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในเกมต้องสนุก เพราะเกมเป็นเรื่องสนุก หากไม่สนุกเดินออกไปพักก่อน หายใจลึกๆ แล้วกลับเข้าไปเล่นใหม่ เหมือนพักขอเวลานอก แต่ไม่ได้เบื่อนะ เพียงแค่ถอยออกมาทบทวนตัวเอง"

      "ฟุตบอลเป็นลูกกลมๆ มีลมแต่ไม่มีหัวใจ เราต่างหากที่มีหัวใจ จะให้ฟุตบอลควบคุมเราหรือเราจะเป็นฝ่ายควบคุมล่ะ ฉะนั้นล้มได้แต่ต้องลุกขึ้นมา แพ้ได้แต่ต้องกลับมาซ้อมใหม่"

     นั่นแหละเขา ซีโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โค้ชทีมชาติไทยขวัญใจแฟนบอลไทยที่ทำให้คนไทยมีความสุขทุกครั้งที่ดูแข่งฟุตบอล เมื่อชนะเราก็ดีใจ และถึงแม้จะแพ้ ทุกคนก็สุขใจที่ได้ดูนักกีฬาไทยแข่งขัน
     บอลไทยจะได้ไปบอลโลกหรือเปล่าเราไม่รู้ แค่ได้เชียร์บอลไทยแข่งขันเราก็มีความสุขแล้วล่ะ

(ข้อมูลเรื่องและภาพจาก นิตยสาร Happiness Ptt)








 

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สีปัสสาวะบอกสุขภาพคุณได้

สีปัสสาวะบอกสุขภาพคุณได้

              ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ บางคนก็เข้าแล้วเข้าเลย ไม่เคยเหลียวหลังไปมองสิ่งที่ออกไปจากร่างกาย ทั้งที่จริงๆ แล้วเราควรหันไปมองสักนิดก็ยังดีแม้จะไม่อยากมองนักก็ตามที เพราะสิ่งที่ขับออกจากร่างกายสามารถบอกถึงสุขภาพและสัญญาณแจ้งเตือนโรคภัยของเราได้

             วันนี้เราจะชวนคุณหันไปมองปัสสาวะตัวเองว่ามีสีอะไรกันแน่ คุณอาจแย้งว่าจะมองทำไมยะ ปัสสาวะคนเรามันก็สีเหลืองทุกคน นั่นก็จริงแหละจ้ะ แต่จะบอกให้ว่า “สีเหลือง” นั้นมีอยู่หลายเฉด สีเหลืองบางเฉดคือสุขภาพปกติ แต่เหลืองบางเหลืองกำลังบ่งบอกว่าคุณกำลังขาดน้ำหรือมีปัญหาสุขภาพ พูดไปก็ไม่เห็นภาพ เรามาเช็คสีปัสสาวะกันดีกว่า

                ก่อนอื่นอย่าเพิ่งตื่นเต้นกับสีปัสสาวะที่อาจเข้มหรืออ่อนกว่าปกติ ให้ทำความเข้าใจกันก่อนว่าสีปัสสาวะนั้นเกี่ยวข้องกับจำนวนน้ำที่เราดื่มในแต่ละวันด้วย มาตรฐานปกติแล้วผู้ชายจะดื่มน้ำวันละประมาณ 13 แก้ว ผู้หญิงดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันด้วย เช่นวันนั้นทำงานกลางแจ้ง ถางหญ้า ถูบ้าน ออกกำลังกาย วันนั้นเหนื่อยตลอดวันก็ทำให้คุณต้องดื่มมากมายราวอูฐในทะเลทราย ซึ่งก็ทำให้ดื่มน้ำมากกว่ามาตรฐาน วันที่คุณดื่มน้ำมาก ปัสสาวะจะสีใสแจ๋วสวยงาม แต่ถ้าวันไหนนั่งในห้องทำงานยุ่งทั้งวันน้ำท่าไม่ได้ดื่มเลย วันนั้นปัสสาวะอาจสีเข้มสักหน่อย แต่ถ้าปัสสาวะออกแนวสีแดงเข้ม อันนี้จะน่ากังวลมากเพราะแสดงว่าคุณชักไม่ปกติแล้ว ไตของคุณอาจมีอาการติดเชื้อหรือมีอาการผิดปกติอย่างหนึ่งอย่างใดของไตได้ หรืออาจไม่เป็นไรเลยก็ได้ เนื่องจากวันนั้นคุณรับประทานผักที่มีสีแดงอย่างบีทรูทมากเกินไป ซึ่งบีทรูทจะมีสารเบทานินทำให้ปัสสาวะแดงได้ใจมากๆ


                จะเห็นได้ว่าสีปัสสาวะเป็นเครื่องมือบอกโรคที่สำคัญได้เป็นอย่างดี ว่าแล้วเรามาก้มดูสีปัสสาวะกันดีกว่าว่ามีสีแบบไหน  หากอยากปัสสาวะสีสวยใสก็อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันด้วย คนรักสุขภาพอย่างพวกเรา..หน้าสวยไม่พอ..ปัสสาวะควรมีสีสวยด้วยนะจ๊ะ 

ภาพ Featured photo credit: http://morguefile.com via mrg.bzเ

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สัญญาณเตือนภัย..คุณดื่มน้ำน้อยเกินไป

สัญญาณเตือนภัย ...คุณดื่มน้ำน้อยเกินไป !

                แต่ละวันเรามักคิดว่าเราดื่มน้ำอย่างเพียงพอแล้ว บางคนดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหายเท่านั้น บางคนนั่งทำงานทั้งวันแทบไม่ได้ดื่มน้ำเลย และเราก็ทำอย่างนี้ทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน โดยไม่รู้เลยว่าการที่ร่างกายขาดน้ำจะนำพามาซึ่งโรคภัยที่เราคิดไม่ถึง ร่างกายที่ได้รับน้ำน้อยเกินไปจะพยายามส่งสัญญาณบอกคุณ ลองสังเกตดูว่าคุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่  ถ้ามีขอให้รีบเพิ่มการดื่มน้ำโดยด่วน !



1 ปากแห้ง อันนี้คือการส่งสัญญาณชัดเจนที่สุด แต่ก็มีบางคนไม่ได้สนใจว่าทำไมปากแห้ง ก็แค่หา
ลิปมันมาทาเพื่อให้ปากชุ่มชื้น แต่นั่นคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คุณควรเฉลียวใจว่าอยู่ๆ ทำไมปากถึงแห้ง  ที่ปากแห้งก็เพราะร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ควรรีบดื่มน้ำเพิ่มโดยด่วน

2 ผิวแห้ง ผิวหนังคือส่วนประกอบร่างกายที่ใหญ่ที่สุด เมื่อผิวแห้งแสดงว่าร่างกายขาดน้ำ การขาดน้ำทำให้ขาดเหงื่อ ซึ่งเหงื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกายตลอดทั้งวัน ดังนั้นผิวแห้งจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่แค่ทาโลชั่นแล้วก็จบกัน แต่วิธีแก้ปัญหาคือคุณต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น

3 เหนื่อยง่าย
อาการเหนื่อยง่ายถ้ามาร่วมกับปากแห้ง คอแห้งจนแบบแทบจะเรียกว่าคอแห้งเป็นผง  อาการคอแห้งเหมือนคนดื่มเหล้าแฮงก์หนักๆ แล้วตื่นขึ้นมา รวมทั้งลิ้นแห้งราวอยู่ทะเลทราย นั่นแหละหมายความว่าร่างกายคุณได้รับน้ำไม่เพียงพอ ขอให้รีบเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำทันที

4  ตาแห้ง
การดื่มน้ำน้อยนอกจากทำให้คอแห้ง ผิวแห้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งผลไปถึงทำให้ตาแห้งได้อีกด้วย ตาแห้งทำให้น้ำในตาน้อยลง  ฝุ่นผงที่เคยชำระชะล้างออกมาได้ ก็ต้องไปอุดตัน บางคนร้องไห้แทบไม่มีน้ำตาเพราะตาขาดน้ำนั่นเอง อาการตาแห้งยังส่งผลถึงคนใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งจะรู้สึกได้ว่าลำบากขึ้นไปอีกเท่าตัว ถ้ามีอาการตาแห้งอย่านิ่งนอนใจ ลองไปหาน้ำมาดื่มสักแก้วสองแก้ว

5 ปวดเมื่อยตามข้อต่อต่างๆ
ร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำ  80 เปอร์เซ็นต์ น้ำยังมีความสำหรับที่ช่วยให้กระดูกข้อต่อต่างๆ ไม่เสียดสีกันและกันในทุกๆ การเคลื่อนไหว เช่น การเดิน การวิ่ง หากขาดน้ำจะทำให้ข้อต่อต่างๆ รองรับการเคลื่อนไหวได้ไม่ดีพอ จะรู้สึกได้ถึงการปวดตามข้อโดยไม่ทราบสาเหตุ 

6 เจ็บป่วยนานกว่าปกติ
การดื่มน้ำช่วยทำให้ร่างกายขับสารพิษ อวัวยะที่ทำการกรองของเสียในร่างกายต่างต้องใช้น้ำเป็นตัวช่วยนำพาของเสียออกจากร่างกาย หากขาดน้ำก็จะทำให้ระบบในร่างกายทำงานได้ไม่ดีพอ อาจจะต้องดึงน้ำที่สะสมในร่างกายจากแหล่งอื่นๆเช่น เลือด ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเจ็บป่วยตามมาได้

7 กินน้ำน้อยทำให้หิวบ่อย
เมื่อคุณดื่มน้ำน้อยเกินไป ร่างกายจะคิดว่าเกิดเหตุฉุกเฉินจึงต้องรีบสะสมอาหาร ดังนั้นคุณจะรู้สึกหิวและอยากกินโน่นนี่ตลอดทั้งวันโดยเฉพาะหิวจนต้องมาหาอะไรกินในตอนกลางคืน ซึ่งการกินอาหารกลางคืนเป็นภาระต่อร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นเวลาพักผ่อนของอวัยวะต่างๆ ถ้าคุณกินอาหารตอนดึก อวัยวะเหล่านี้จะต้องตื่นขึ้นมาทำงานอีก   แต่ถ้าคุณแค่ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะไม่เป็นภาระแก่อวัยวะใด ๆ ร่างกายก็จะดำเนินไปตามปกติ ไม่ส่งสัญญาณว่าต้องการอาหาร 

8 ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี
                นอกจากปากแห้ง คอแห้งแล้ว ยังส่งผลไปถึงระบบการย่อยอาหารอีกด้วย การดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้กรดในกระเพาะอาหารมีความเข้มข้นสูง ทำให้ทำลายอวัยวะภายในได้ ส่งผลให้คุณป่วยไข้ได้ง่ายขึ้น

9 ดื่มน้ำน้อย ทำให้ปัสสาวะน้อยเกินไป
                หากคุณดื่มน้ำเพียงพอ  ในแต่ละวันคนเราจะต้องเข้าห้องน้ำประมาณ  4-7 ครั้ง แต่ถ้าคุณเข้าห้องน้ำน้อยกว่านี้ แสดงว่าคุณดื่มน้ำน้อยเกินไป สังเกตไม่ยากหากร่างกายได้น้ำเพียงพอ ปัสสาวะต้องมีสีเหลืองอ่อน หรือสีเหมือนน้ำเปล่าได้ยิ่งดี แต่ถ้าปัสสาวะสีเหลืองเข้ม แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ การดื่มน้ำน้อยเกินไป อาจทำให้นำไปสู่การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้อีกด้วย

10 แก่ก่อนวัย
                การดื่มน้ำน้อยทำให้ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ไม่สดชื่น ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย หากอยากให้ผิวพรรณเต่งตึงสดชื่น วิธีง่ายๆ ที่ช่วยไม่ให้ความแก่มาเยือนก่อนเวลาคือดื่มน้ำให้เพียงพอ

                ลองตรวจดูตัวเองว่าได้รับสัญญาณเตือนภัยข้อไหนบ้างแล้ว แม้จะได้รับสัญญาณหรือยังไม่ได้รับก็ตามที อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน อย่างน้อยก็ควรดื่มให้ได้วันละ 1 ลิตร หรือ 7-8 แก้วตามหลักสูตรสุขศึกษาที่เรียนมาแต่เด็ก 
                 ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอนี่แหละคือวิธีที่ดีและง่ายๆ ที่สุดสำหรับการดูแลสุขภาพแล้ว





วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อคิดของ ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ ดร.ที่มาจากเด็กเก็บขยะ


ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ (ภาพจาก happiness ptt)


        ความสำเร็จไม่เคยได้มาง่ายดาย แต่คนที่ได้มายากยิ่งกว่าใครๆ เพราะมีความพยายามมากเกินกว่าจะบรรยายได้หมด คงต้องยกให้ ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ  นี่คือเรืื่องราวเหนือฝันของเด็กเก็บขยะคนหนึ่งที่พยายามสู้ชีวิตจนวันหนึ่งได้เป็นถึง ดร.

      "ถามว่าเมื่อต้องออกเร่ร่อนเก็บขยะผมมีความสุขมั้ย มีครับ เพราะการเก็บขยะสร้างพื้นฐานชีวิตแห่งความเพียรพยายามให้แก่ตัวผม  ขวดน้ำพลาสติกหนึ่งใบนั้นไม่มีราคา แต่เมื่อเก็บรวมกันจนครบ 1 กิโลกรัม คือเงิน 4 บาท ความพยายามของคนเราก็เช่นกัน ครั้งเดียวอาจจะยังไม่พอ ไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เหมือนขยะชิ้นเดียวไม่มีค่า ต้องสะสมให้มากจึงจะมีราคา โชคดีที่ผมเกิดมายากจน แต่เป็นความยากจนที่สอนให้รู้จักความยากลำบาก ทำให้ผมมีความอดทนเป็นเพื่อน และมีความพยายามเป็นเข็มทิศนำทางไปสู่เป้าหมายในชีีวิต"
 
(ขอขอบคุณ ข้อมูลและภาพจากนิตยสาร happiness ptt)

ฟังสัมภาษณ์ชีวิตฉบับเต็ม ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ ในรายการ เจาะใจ
https://youtu.be/EoX5F73g6v0



คลิกอ่านเรื่องต่อไป ข้อคิดจาก ซีโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง 
โค้ช..ผู้นำชัยชนะมาให้แฟนบอลไทย



วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ไม่กล้าขับรถ..ความกลัวที่ไม่รู้จะกำจัดอย่างไร

ซื้อรถมาแล้ว แต่ไม่กล้าขับ..!!

เรียนขับรถมาแล้ว..แต่ไม่กล้าขับ !!

ได้ใบขับขี่มาแล้ว..แต่ไม่กล้าขับ!!

ปัญหาที่เรามักได้ยินมือใหม่บ่นให้ฟังอยู่เสมอ มีมือใหม่บางคนสามารถฝ่าด่านความกลัวไปได้อย่างสวยงาม แต่บางคนยังหยุดอยู่ที่เดิม คอยวันที่กล้า..แต่ยิ่งคอยนาน ๆ กลับยิ่งเพิ่มความกลัวมากขึ้นอีก นานวันเข้าก็ไม่ขับ กลายเป็นคนขับรถไม่เป็นเหมือนเดิม

ทำอย่างไรให้กล้าขับรถ?

ในประเทศไทยมีคนขับรถได้นับล้าน ๆ คน... หนึ่งในนั้นทำไมไม่มีคุณ?   
ภาพจาก https://www.pexels.com

          
                นั่นน่ะซิ ! แค่ตอบประโยคนี้ประโยคเดียว คุณก็ต้องเปลี่ยนความคิดที่จะไม่ยอมขับรถแล้ว เพราะการขับรถเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะ ไม่ต้องเรียนสูง ไม่ต้องหน้าตาดีก็ได้ แต่จะหน้าตาดีด้วยก็ได้ไม่มีใครว่าอะไร “คนปกติทั่วไป”ขับรถได้ นี่คือความจริงที่สุด และเมื่อคุณส่องกระจกมองตัวเองและพบว่าคุณเป็นคนร่างกายปกติดี อวัยวะครบถ้วน สมองก็สั่งการได้ไม่ผิดปกติ ตาไม่บอดสี  ไม่ได้เป็นโรคลมบ้าหมู โรคลมชัก โรควูบ หรือโรคประจำตัวร้ายแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถ นั่นก็คือคำตอบว่า คุณขับรถได้แน่นอน

                หากคุณยังไม่มั่นใจว่าคุณจะขับได้จริงหรือ ? ก็ขอให้คิดถึงคนใกล้ตัวที่ขับรถได้ เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทที่เรียนหนังสือได้พอ ๆ กับคุณ เพื่อนที่ทำงานที่อาจทำงานสู้คุณไม่ได้  คนขับรถส่งน้ำ คนขับรถขายกับข้าว คนข้างบ้านที่อาจเป็นคุณป้าคุณลุงที่ขับรถได้ ฯลฯ บุคคลเหล่านี้ยังขับรถได้เลย แล้วเหตุไฉนคุณถึงขับไม่ได้ ?

                ยัง ยัง ยังไม่พอ ถ้ายังไม่เชื่อมั่น ก็ขอให้คุณไปยืนที่ริมถนน ลองสังเกตคนขับรถบนท้องถนนที่แล่นผ่านไปมา แล้วคุณจะเห็นผู้คนมากมายที่กำลังขับรถ คนเหล่านี้มีทั้ง คนที่อายุน้อยกว่าคุณ อายุมากกว่าคุณ มีทั้ง ผู้หญิง ผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน แม่บ้าน คนสูงวัย ทุกคนขับรถได้  มีคนขับแท็กซี่จำนวนมากที่อาชีพหลักเป็นชาวนา เมื่อว่างเว้นจากการทำนาจะมาขับแท็กซี่ในเมือง อีกทั้งยังมีลูกจ้างชาวไทย ชาวพม่าที่ขับรถกระบะส่งของ ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาสูงส่งแต่ทุกคนก็ขับรถได้เช่นกัน
                ใครๆ ก็ทำได้..ดังนั้นขอให้คุณฝังความคิดใหม่ไว้ในสมองวันนี้เลยว่า “ถ้าฉันพยายาม ฉันก็ขับรถได้แน่นอน”  

จินตนาการภาพตัวเองกำลังขับรถ
                ลองจินตนาการภาพของคุณที่กำลังขับรถอย่างมีความสุขดูซิ ขับรถไปทำงานแต่เช้าแสนสบาย ตกเย็นไม่ต้องเบียดเสียดดมขี้เต่าใครต่อใครอีกแล้ว  ลองคิดถึงสถานที่ที่คุณอยากไป ถ้าคุณได้ขับรถไปที่นั่น อาจจะไปคนเดียวหรือไปกับแก๊งเพื่อนรัก ลองคิดดูว่าจะสนุกกันขนาดไหน ขับไปเมาท์มอยกันไปจนถึงที่หมาย หรือถ้าไม่ไปเที่ยวไหนไกล แค่ได้ช็อปปิ้งชนิดแบบ”เอาไม่อยู่” ลองคิดดูจะมีความสุขแค่ไหน และจะมีอะไรสุขใจเท่ากับคุณขับรถไปซื้อของ จะหอบของมากมายแบบบ้าหอบฟางแค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะต่อแต่นี้ไม่ต้องไปยืนเรียกแท็กซี่ หรือต้องไปอ้อนวอนให้ใครช่วยขับรถมาที่ห้างอีกแล้ว เพราะคุณจะขับรถมาเอง คิดดูซิ..คุณจะขนของที่คุณชอบ ใส่รถเข็นแล้วมาใส่รถตัวเอง เปิดแอร์เย็น ๆ ฟังเพลงเพราะ ๆ แล้วขับรถอย่างมีความสุขกลับบ้าน..เห็นไหม..แค่คิดก็มีความสุข แล้วคุณจะปล่อยโอกาสดี ๆ ในชีวิตนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร โดยไม่ยอม”ขับรถ”


“ขับรถเป็น” ถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิตยุคนี้
            ลองสังเกตดูว่าสมัยนี้คนมักจะไม่ค่อยถามกันหรอกว่า “ขับรถได้ไหม” เพราะทุกคนมักจะเชื่อกันว่าใคร ๆ ก็ขับรถได้กันทั้งนั้น เพราะสมัยนี้มีรถยนต์เกียร์ออโต้ซึ่งขับง่ายขับดายเหลือเกิน ไม่เหมือนรุ่นคุณปู่ที่ต้องขับเกียร์กระปุก พอขึ้นสะพานเลี้ยงคลัชท์ไม่ดีเครื่องดับ  ลมแทบจับกันทุกคนเพราะรถจะไหล แต่รถเป็นเกียร์ออโต้จะขับขึ้นสะพาน ขึ้นเขา ขึ้นคาน ขึ้นเหนือล่องใต้ก็ไปถึงได้สบาย  ดังนั้นพอมีใครสักคนที่หน่วยก้านดี พูดขึ้นว่า “ฉันขับรถไม่เป็น” คนอื่นจะทำหน้าสงสัยและทำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อยพูดว่า “เฮ้ย..จริงเหรอ เธอขับรถไม่เป็นเหรอ อ้าว..ทำไมไม่ไปเรียน” นั่นนะซิ.. ขับไม่เป็นก็ควรไปเรียนให้ขับเป็น เพราะ “การขับรถเป็น” เป็นเรื่องจำเป็นอย่างหนึ่งของชีวิต แม้จะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนคอขาดบาดตาย คุณอาจคิดว่า “..ไม่เห็นจำเป็นเลย ประเทศเรามีทั้งรถไฟฟ้า รถใต้ดิน รถเมล์ รถแท็กซี่เยอะแยะ” เรื่องนั้นก็เป็นความจริง  แต่ถ้าหากเวลาที่ต้องใช้รถเร่งด่วน หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็นต้องขับรถให้คนที่บ้าน เช่น ขับไปส่งโรงพยาบาลกลางดึก ฝนตกหนักต้องขับรถไปรับใครสักคนที่ติดฝนอยู่ หรือแม้แต่ตัวคุณเองต้องมีเหตุต้องไปในสถานที่ที่ไม่มีรถสาธารณะผ่าน  รวมไปถึงอาจประสบเหตุการณ์ที่ต้องช่วยเหลือคนอื่น ในนาทีวิกฤตเร่งด่วนเหล่านั้นหากต้องการคนขับรถสักคน คุณจะสามารถช่วยได้ทันที  ดังนั้น “การขับรถเป็น” ถือเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรจะเรียนรู้ติดตัวไว้ คุณจะเห็นว่าใบสมัครงานหลายแห่งจะมีข้อความถามว่า ขับรถยนต์ได้หรือไม่ นั่นแสดงว่าเป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตที่พึงทำได้ ไม่ได้ด้อยไปกว่า การว่ายน้ำ พิมพ์ดีด-ไทยอังกฤษ ที่ทุกคนมักจะทำได้เช่นกัน

อาชีพยามยาก
                อย่าได้คิดว่าการ “ขับรถเป็น” ก็แค่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายเท่านั้น  แต่ครั้งหนึ่งในยุคฟองสบู่แตก มนุษย์เงินเดือนจำนวนมากได้ใช้ทักษะของการ”ขับรถเป็น”เปลี่ยนเป็นอาชีพ “ขับแท็กซี่” หาเลี้ยงชีวิตในยามยากรอดตายมานักต่อนักแล้ว คุณอาจไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าวันใดประสบปัญหาเรื่องอาชีพ “การขับรถเป็น” ก็ยังจะพอเป็นช่องทางเล็ก ๆ ให้คุณหารายได้ ไม่ว่าจะเป็น พนักงานขับรถบริษัท ขับรถให้ผู้บริหาร หรือจะหันมาขับรถแท็กซี่ของตัวเองก็ยังได้  ฯลฯ
                เห็นข้อดีของ “การขับรถเป็น” มากมายขนาดนี้แล้ว จะมัวนิ่งเฉยกันอยู่ทำไม คำตอบนั้นชัดเจนที่สุดแล้วว่า “การขับรถเป็น” นั่นดีกว่า “ขับรถไม่เป็น” จริงแท้แน่นอนที่สุด

(เนื้อหาบางส่วนจาก หนังสือ ขับรถเรื่องง่าย)
สั่งซื้อได้ที่http://www.bear-book.com/books/beargoodbook/easy-driving.html

สนพ.แบร์ พับลิชชิ่ง  0-2284-3988


คลิกอ่านเรื่องต่อไป  วิธีตัดสินใจเลือกซื้อรถใหม่