โกหกกันไปทำไม?
|
ยุคแห่งการโกหก (ภาพจาก www.pixabay.com) |
สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคโกหกตอแหลอย่างเต็มรูปแบบจริงๆ เรามีข่าวคนโกหกระดับชาติเกิดขึ้นติดๆ กันมากมาย นี่เฉพาะที่ถูกจับได้ และเชื่อว่ายังมีคนโกหกตอแหลแฝงตัวในสังคมโดยเฉพาะสังคมโซเชียลอีกมหาศาล ตั้งแต่โกหกเล็กน้อยไปจนถึงโกหกคำโต นี่ยังไม่รวมบรรดาผู้มีอำนาจวาสนาที่รอวันสิ้นอำนาจ เราก็จะค้นพบการโกหกซุกซ่อนไว้ใต้พรมอีกมากมาย
หรือว่า การโกหก แท้จริงแล้วคือตัวยาชั้นดีที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ใจของคนที่ไม่กล้ายอมรับความจริง โดยผ่านกระบวนการโกหกเพื่อให้รู้สึกดี สร้างภาพที่ดี และช่วยยกเยียวยาคนที่ไม่สมหวังในชีวิตจริงให้หลุดพ้นจากความผิดหวังด้วยการโกหกตัวเองและสังคมรอบข้าง
การโกหกไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน คนที่ชอบพูดโกหกจัดอยู่ในพวกมีอาการไม่ปกติ จากการศึกษาสาเหตุที่คนที่ชอบโกหกพบว่ามีหลายสาเหตุ วันนี้เราจะมาวิเคราะห์พฤติกรรมยุคโซเชียล..ทำไมถึงโกหก?
สาเหตุแรกสุดของ
ทำไมถึงโกหก ก็เพราะ
คิดว่าการพูดโกหกไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก การโกหกเล็กๆ น้อยๆ เป็นสิ่งที่ทำได้ ตราบใดเรื่องนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายให้ตัวเองหรือสร้างความเสียหายให้กับใคร คนพวกนี้จะโกหกเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน นานวันก็เริ่มเคยชิน โกหกไปเรื่อยเปื่อย ตราบใดที่การโกหกนั้นไม่มีใครจับได้ คนพวกนี้เราจะเจอะเจอในชีวิตจริงบ้าง คนพวกนี้จัดอยู่ในประเภทขี้โม้พูดเกินจริง
สาเหตุที่สอ
งโกหกเพราะไม่อยากจนมุม การโกหกแบบนี้จะเกิดขึ้นในสถานการณ์คับขันที่คนนั้นเข้าตาจน เช่นถูกจับได้ว่าทำความผิด หรือถูกกดดันเพื่อถามหาความจริงในขณะที่คนนั้นไม่สะดวกใจที่จะพูดความจริง เพราะพูดแล้วจะทำให้ตัวเองเสียหายหรือเกิดผลลบกับตัวเอง เลยต้องพยายามเอาตัวให้รอดจากสถานการณ์โดยการโกหกเพื่อให้หลุดพ้นจากการจนมุมไปให้ได้ก่อน
สาเหตุที่สาม
ทำไมถึงโกหกเพราะ
ไม่อยากให้คนอื่นผิดหวัง ฟังดูเหมือนปรารถนาดีกับคนอื่น แต่จริงๆ แล้วเป็นการโกหกเพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตาคนอื่น คนพวกนี้มักจะเป็นคนประเภทสร้างภาพให้ตัวเองเป็น "คนดี" มักได้รับการยกย่องจากสังคมและคนรอบข้าง และอยากรักษาภาพความดีของตนเองนั้นไว้ให้นานแสนนาน แต่พอถึงวันหนึ่งเกิด
"โป๊ะแตก" คนดีมักจะร่ำไห้ ขอความเมตตาจากสังคม ทั้งที่จริงๆแล้วตั้งใจโกหกเพื่อพยายามปกปิดตัวเองมาโดยตลอด ถ้าจับไม่ได้ก็จะโกหกต่อไปไม่หยุด
สาเหตุที่สี่คือ
มีความจำเป็นต้องโกหกต่อยอดโกหกไปเรื่อยๆ กรณีนี้จะเริ่มต้นจากการโกหกเล็กๆ น้อยๆ แต่คิดไม่ถึงเพราะเรื่องราวการโกหกจากเล็กๆ แต่ถูกแพร่กระจายไปจนกลายเป็นโกหกเรื่องใหญ่ ทำให้ต้องแต่งเรื่องโกหกต่อไปเรื่อยๆ เหมือนตกกระไดพลอยโจร จะย้อนกลับมาที่เดิมก็ไม่ได้แล้ว เพราะเรื่องโกหกมันทับซ้อนกันจนใหญ่โตไปเรื่อยๆ กรณี "พีท แผงแตก" พ่อค้าหวยมือบอน น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด คือแก้ตัวเลขหวยเล่นๆ แต่เรื่องราวมันไปไกลเลยต้องโกหกต่อ ยิ่งโกหกยิ่งดัง เลยต้องแต่งเรื่องโกหกซ้อนโกหกเข้าไปอีกจนสุดท้าย
"โป๊ะแตก"นำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง
|
พิน็อกคิโอ คือตัวอย่างของการโกหก ทุกครั้งที่พูดโกหก จมูกจะยาวขึ้นเรื่อยๆ
|
สาเหตุที่ห้าคือ
ไม่รู้ว่านี่คือการโกหก นั่นก็คือคนที่พูดนั้นเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริง อันนี้ออกแนวน่าสงสาร เพราะส่วนลึกแล้วพูดไปเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นไม่จริง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในหมู่คนที่เชื่อในสิ่งเร้นลับไสยศาสตร์มักจะมาแนวนี้ เช่น ส่งจดหมายนี้ต่อไปเก้าฉบับแล้วจะถูกหวย ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น
ทำไมถึงโกหกสาเหตุที่เจ็ดคือ
โกหกเพราะอยากให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นจริง การโกหกแนวนี้จะเกิดกับคนที่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ เลยแต่งเรื่องโกหกที่อยากให้เป็นจริงขึ้นมาเสียเองเลย ตัวอย่าง บอยสกล ที่โกหกมาราธอนจากมัธยมจนกระทั่งมหาวิทยาลัย จะเห็นได้้ว่าเรื่องที่โกหกก็คือเรื่องที่เขาฝันอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตจริงของตัวเอง
นี่คือสาเหตุของเหตุผลที่ว่า
ทำไมถึงโกหก
อ่านมาถึงตรงนี้ อาจเกิดคำุถามว่าแล้วทำอย่างไรถึงจะไม่โกหกล่ะ
คำแนะนำอย่างเดียวก็คือ เราต้องยอมรับความจริงทุกอย่างให้ได้ เมื่อยอมรับได้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปโกหกเพื่อบิดเบือนความจริงนั้น
แล้วถ้าเรายอมรับความจริงนั้นไม่ได้จะทำอย่างไร?
ถ้ายอมรับไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรืออธิบายสิ่งนั้นในเวลาที่เรายังทำใจไม่ได้ ใครถามก็ไม่จำเป็นต้องตอบ อาจเลี่ยงบอกไปว่ายังไม่สะดวกจะตอบ เราคงเคยเห็นนักการเมืองที่เดินหนีนักข่าว เมื่อนักข่าวถามคำถามสะเทือนซางที่ไม่อยากจะตอบ
ไม่มีคำตอบ......ก็ยังดีกว่า "คำตอบที่โกหก"
เพราะความลับไม่มีในโลกนี้
วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ทุกเรื่องโกหกมันมักจะสุกงอมจน "โป๊ะแตก" เข้าสักวันจนได้